ฝ้า (Melasma) ปัญหากวนใจบนใบหน้า หากเป็นแล้วยากที่จะรักษาให้หาย ส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิต ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งรักษายาก จากฝ้าตื้น อาจกลายเป็นฝ้าลึกและดื้อต่อการรักษาได้  และถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ฝ้าก็จะเข้มขึ้นหรือลุกลามเป็นบริเวณกว้างได้ เนื่องจากปัญหาฝ้าเป็นโรคผิวหนังที่รักษายากที่สุดโรคหนึ่ง จึงเกิดวิธีรักษามากมาย เชื่อว่าหลายๆคนอาจลองผิดลองถูกมาหลายวิธีแล้ว แทนที่ฝ้าจะจางหายไปกลับเข้มขึ้น การรักษาอย่างถูกวิธีที่จะช่วยให้คุณประหยัดงบประมาณการรักษาและทำให้ฝ้าบนใบหน้าคุณถูกลบออกไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากับวิธีผิดๆอีกต่อไป หลักการรักษาฝ้าที่ถูกวิธีมีอะไรบ้าง  WOW Clinic จะมาแนะนำวิธีรักษาฝ้าที่มีงานวิจัยรองรับ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกันครับ

             หลักการรักษาฝ้าตามหลักงานวิจัยประกอบไปด้วย

  1. ลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี(melanocyte)
  2. เร่งการกำจัดเม็ดสีเมลานิน
  3. ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

1. ขั้นตอนลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี

        คือการรักษาด้วยยาหรือเวชสำอางเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่ก็เห็นผลลัพธ์ช้าที่สุดเช่นกัน วิธีนี้จะใช้รักษาฝ้าตื้นได้ดีกว่าฝ้าลึกเท่านั้น เพราะเป็นการทายาที่ผิวชั้นนอก ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารดังต่อไปนี้ ได้แก่

  • Kojic acid
  • Alpha-Arbutin
  • Azelaic acid
  • Tranexamic acid
  • Tretinoin หรือกรดวิตามินเอ
  • Ascorbic acid หรือวิตามินซี
  • Niacinamide
  • Isobutylamido thiazolyl resorcinol(ITR)
  • Soybean Extract หรือสารสกัดจากถั่วเหลือง
  • Green tea extract
  • Licorice extract
  • Mulbery extract

        เนื่องจากสารกลุ่มนี้มีฤทธิ์อ่อนโยนต่อผิว ที่สำคัญยังมีงานวิจัยมากมายบอกว่าสารกลุ่มนี้ช่วยลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีได้อย่างแน่นอนและปลอดภัย

2. ขั้นตอนการเร่งการกำจัดเม็ดสีเมลานิน

                 เร่งการกำจัดเม็ดสีด้วยตัวยา : ตัวยากลุ่มเร่งการผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดวิตามินเอ(Tretinoin), กรดผลไม้  AHA / BHA / PHA , salicylic acid ตัวยากลุ่มนี้มีผสมอยู่ในเครื่องสำอางที่เน้นผิวขาวใสหรือลดรอยดำหลายชนิดในท้องตลาด ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว หากมีผิวแห้งหรือระคายเคืองง่าย ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

             เร่งการผลัดเซลล์ด้วยการลอกผิว หรือกรอผิว : วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ค่อยนิยมในการรักษาฝ้าสักเท่าไร เพราะการรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้อาจจะก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้จากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไป จึงจำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ทำให้เท่านั้น 

              เร่งการกำจัดเม็ดสีด้วยเลเซอร์ : ต้องบอกว่าในปัจจุบันวิธีการรักษาฝ้า ด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เพราะเป็นการรักษาที่เห็นผลไวแต่ทั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่การรักษาเสริมเท่านั้น เพราะการยิงเลเซอร์เป็นการไปทำลายเม็ดสีที่มีความผิดปกติ ทำให้เม็ดสีแตกตัวละเอียดขึ้น ทำให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น และเลเซอร์ไม่ได้ช่วยยับยั้งต้นเหตุของการเกิดเม็ดสี มีหลายคนที่กลัวคำว่าเลเซอร์ หรือเคยมีประสบการณ์ไม่ดีจากการทำเลเซอร์รักษาฝ้า เพราะการทำเลเซอร์มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ไม่ว่าจะเป็นอาการใบหน้าแสบร้อนระหว่างทำ และหลังจากทำเสร็จอาจจะทำให้ผิวหน้าอ่อนแอลง หรือที่เรียกกันว่าผิวบาง ทำให้ผิวแห้ง ตกสะเก็ด เป็นขุย หลังจากทำมาแล้วก็ต้องหลีกเลี่ยงห้ามโดนแสงแดดโดยเด็ดขาดเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ และมีโอกาสเกิดผิวด่างได้จากการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินตายเป็นจำนวนมาก ผลข้างเคียงที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าได้ใหม่อีกครั้ง และมีโอกาสที่จะเป็นง่ายมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงฝ้าอาจจะมีสีเข้มขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย 

3. ป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ

  • ป้องกันโดยหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ 

         นอกจากหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด ความร้อน ยา และฮอร์โมน นอกจากการการป้องกันฝ้าโดยหลีกเลี่ยงรังสีUltraviolet ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังคงแนะนำให้เว้นระยะห่างจากหลอดไฟ fluorescent อย่างน้อย 65เซนติเมตร จะให้ให้ได้รับรังสี ultraviolet และ infrared ลดลงอย่างมาก และหากเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED แทนหลอด fluorescent จะช่วยลดอันตรายจากรังสีทั้ง2 ชนิดได้เป็นอย่างมาก

  • ป้องกันโดยใช้ยาและเวชสำอาง

         คือการป้องกันการเป็นซ้ำโดยใช้ยาและเวชสำอางที่ช่วยลดเม็ดสีผิดปกติอย่างต่อเนื่อง โดยอาจจะเว้นระยะห่างของการใช้ยาเช่น ช่วงแรกใช้ยาที่ช่วยลดเม็ดสีเป็นประจำทุกวันในระยะที่เริ่มรักษาฝ้า แต่เมื่อฝ้าจางลงจนน่าพึงพอใจ ให้ใช้สัปดาห์ละ 2วัน  ซึ่งมีงานวิจัยว่าป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของฝ้าได้ผลดี นอกจากนั้นผู้ที่เป็นฝ้าควรใช้เวชสำอางที่มีงานวิจัยว่าช่วยลดเม็ดสีได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยในการบำรุงผิวให้แข็งแรง สร้างเกราะคุ้มกันผิวและลดการเกิดเม็ดสีใหม่อย่างปลอดภัย เวชสำอางกลุ่มนี้ได้แก่ Alpha-arbutin, Kojic acid, Licrorice extract ,soy bean extract ,L-ascorbic acid (Vitamin C) Niacinamide เป็นต้น

  • ป้องกันโดยการใช้เลเซอร์และเครื่องมือปล่อยพลังงาน

         หากใครไม่มีข้อจำกัดในการใช้เลเซอร์รักษาฝ้า สามารถทำเลเซอร์กลุ่ม long-pulsed Nd:YAG ซึ่งมีงานวิจัยว่าทำให้เกิดการจัดเรียงตัวของชั้นผิวใหม่หรือ dermal remodeling มากกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น ช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำของฝ้าได้ นอกจากนั้นยังมือเครื่องมือกลุ่มที่ปล่อยพลังงาน ultrasoundเข้าสู่ชั้นผิว มีงานวิจัยว่าช่วยทำให้เกิดการจัดเรียงตัวของชั้นผิวใหม่ได้เช่นกันจะช่วยลดฝ้าที่เป็นมากและป้องกันการเป็นฝ้าซ้ำได้

                 ปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ที่รักษาฝ้าคือรักษาไม่ถูกวิธี ไม่ว่าจะเป็นวิธีการซื้อยามาทาเอง บางครั้งได้รับยาทาที่มีส่วนประกอบของสารปรอท หรือสเตียรอยด์ จะทำให้หน้าขาวและฝ้าจางเร็วมากในช่วงแรก แต่จะ เกิดผลข้างเคียงทำให้ผิวหน้าอ่อนแอ หรืออาจจะหนักจนถึงขั้นเป็นรอยดำบนใบหน้าเนื่องจากเซลล์ผิวถูกทำลายอย่างหนัก 

                     WOW Clinic จึงคิดค้นโปรแกรม WOW Depigment Injection Program (WOW DIP) เป็นโปรแกรมฉีดสลายเม็ดสีที่ผิดปกติ รักษาฝ้าได้อย่างแม่นยำและตรงจุด ที่ครอบคลุมขั้นตอนการรักษาฝ้าอย่างถูกวิธีทั้ง 3 ขั้นตอนข้างต้น คือ 1.ลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี(melanocyte) 2.เร่งการกำจัดเม็ดสีเมลานิน 3.ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ อีกทั้งยังช่วยยับยั้งต้นเหตุการเกิดเม็ดสี ที่ไร้ผลข้างเคียง ไม่ทำร้ายเซลล์ผิวหน้าอีกด้วย 

สามารถอ่านบทความเรื่อง : วิธีการรักษาฝ้าด้วยการฉีดสลายเม็ดสีที่ผิดปกติด้วยโปรแกรม WOW Depigment Injection Program (WOW DIP) ได้ที่นี้เลยครับ

บทความโดย นพ.ธีรทัศน์ สำเภาเงิน

แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพและแพทย์ประจำ WOW CLINIC