ฝ้า คือ โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีการคล้ำขึ้นอย่างผิดปกติของสีผิว จะมีลักษณะเป็นปื้นราบสีน้ำตาล จะมีความเข้มมากน้อยแตกต่างกันไปตามการกระจายตัวของเม็ดสี ขอบเขตชัดหรือไม่ชัดก็ได้อยู่ที่ความลึกของชั้นผิว มักพบบนใบหน้าบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อยๆ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก สันจมูก ฝ้าเป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน(melanocyte) สร้างเม็ดสีเมลานินขึ้นมากจาก DNA ภายในเซลล์ผิวหนังที่ทำงานผิดปกติ
ฝ้า มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่าตัว และมักพบในคนผิวสีเข้มมากกว่าคนผิวขาว ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 จะมีสีผิวแบบ Fitzpatrick skin type III-VI คือสีผิวแบบคนไทยขาวไปจนถึงสีผิวชาวผิวดำแบบแขกอินเดียหรือชาวแอฟริกัน และอายุของคนที่เป็นฝ้าส่วนมากมีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป
ฝ้า เป็นโรคผิวหนังที่พบเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่รอยปื้นดำๆบนใบหน้าเฉยๆไม่ก่อให้เกิดอาการคัน อักเสบหรือแสบร้อนใดๆ แต่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นฝ้ามากๆ เพราะฝ้าจะเป็นเรื้อรังและยังกระจายตัวได้ง่าย ทำให้ผู้ที่เป็นฝ้าขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ส่งผลต่อการเขาสังคม พบปะผู้คน หน้าที่การงาน รวมถึงสุขภาพจิตอีกด้วย
ฝ้าจึงเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนหนักใจ และหาวิธีรักษาให้หายเร็วที่สุด ทั้งหายามาทาเอง ใช้เครื่องสำอางที่ช่วยลดเม็ดสี ไปทำเลเซอร์รักษาฝ้า หรือแม้กระทั่งการกรอหน้าผลัดเซลล์ผิว แต่ก็ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร WOW Clinic มีคนไข้ฝ้ามารักษาเป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการวิเคราะห์และวิจัยจนได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาฝ้า ผม นพ.ธีรทัศน์ สำเภาเงิน จึงรวบรวมข้อมูลเรื่องฝ้ามาให้อ่านกัน เมื่ออ่านบทความนี้จบ หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจปัญหาเรื่องฝ้ามากขึ้นนะครับ
สาเหตุของฝ้า ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินทำขยันงานมากเกินไป จากปัจจัยหลายๆปัจจัยดังนี้
- พันธุกรรม
ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้าจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นฝ้ามากกว่า ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดของยีนที่สร้างเม็ดสีผิดปกติมาจากรุ่นพ่อแม่ด้วย
- รังสี Ultraviolet
พบเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดฝ้า เนื่องจากฝ้ามักเข้มขึ้นหลังสัมผัสรังสี UVจากแสงแดด หรือเป็นมากบริเวณใบหน้าที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก สันจมูก รังสี UV กระตุ้นทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินทำงานมากขึ้นและยังส่งผลกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดที่สร้างเซลล์อักเสบ ทำให้ผิวเกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่และไวต่อแสงมากขึ้นด้วย
- ฮอร์โมน
จากงานวิจัยพบว่าอาสาสมัครที่มีฝ้าอยู่แล้วเข้มขึ้นและมีฝ้าเกิดขึ้นใหม่ได้ขณะตั้งครรภ์หรือได้รับยาคุมกำเนิด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนเอสโตรเจน(estrogen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนสำคัญทกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินทำงานมากเกินไป กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้นอกจากนั้นฮอร์โมนไทรอยด์(Thyroid hormone) ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้าในเพศหญิงอีกด้วย
- ยา
ยาบางชนิดทำให้ผิวไวต่อแสง กระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ เช่น ยาคุมกำเนิด ยากันชัก
- ปัจจัยอื่นๆ
ความร้อน จากงานวิจัยที่ประเทศอินเดียพบว่าผู้ที่เป็นฝ้ามีอาการมากขึ้น โดยมีความสัมพันธ์กับระยะเวลาทำครัวและการสัมผัสความร้อนจากอาชีพ และยังมีงานวิจัยว่าการสัมผัสแสงแดด ซึ่งมีรังสี visible light และ infrared สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างเมลานินมากขึ้นอีกด้วย
ฝ้ามีกี่ชนิด?
ฝ้าลึก
มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาล หรือสีน้ำตาลอมเทา ขอบเขตไม่ชัดเนื่องจากมีเม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ที่ชั้นผิวหนังแท้ (dermis) เมื่อใช้ไฟฉายส่องฝ้า Wood’s light ส่องจะไม่เห็นรอยโรคเรืองแสงขึ้นมา ฝ้าลึกจะรักษายากกว่า ส่วนมากเป็นมานานหรือได้รับผลข้างเคียงจากการรักษามาก่อนทำให้เกิดรอยรั่วที่ชั้น basement membrane หรือชั้นที่คั่นระหว่างผิวหนังกำพร้าและหนังแท้ ทำให้มีเม็ดสีเมลานินตกลงไปฝังในผิวชั้นหนังแท้ ทำให้เม็ดสีอยู่ลึกจึงยากต่อการรักษา
ฝ้าตื้น
มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม ขอบเขตชัด เนื่องจากมีเม็ดสีเมลานินสะสมมากบริเวณชั้นผิวหนังกำพร้า (epidermis) เมื่อใช้ ไฟฉายส่องฝ้า Wood’s light ส่องจะเห็นรอยโรคเรืองแสงขึ้นมา ฝ้าตื้นส่วนใหญ่จะเป็นมาไม่นานและตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่า
ฝ้าผสม
มีทั้งฝ้าลึกและฝ้าตื้นผสมกันในอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน เมื่อใช้ไฟฉายส่องฝ้า Wood’s light ส่องจะมีทั้งบริเวณเห็นรอยโรคเรืองแสงขึ้นมาและบริเวณที่ไม่เรืองแสง ในส่วนบริเวณที่มีเม็ดสีอยู่ชั้นตื้นจึงรักษาง่ายกว่า
ฝ้าชนิดอื่นๆ (ฝ้าแยกชนิดไม่ได้)
ฝ้าเลือด ฝ้าแดด ฝ้าฮอร์โมน เป็นคำที่ใช้เรียกตามลักษณะของฝ้าหรือสาเหตุการเกิดฝ้า แต่ต้นเหตุของการเกิดฝ้าที่แท้จริง เกิดจากการสร้างเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ และ มีการอักเสบของชั้นผิวทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ ทำให้ผู้ที่เป็นฝ้าส่วนใหญ่มีผิวบางลง ผิวแห้ง และมีเส้นเลือดฝอยขึ้นบริเวณใบหน้ามากขึ้น
ฝ้า กระ ต่างกันอย่างไร?
ฝ้า และ กระ คือความผิดปกติของเม็ดสีเมลานินที่เกิดขึ้นบนในหน้าเช่นเดียวกันทั้ง 2 โรค อาจมีความคล้ายคลึงกันจนหลายๆคนแยกไม่ออกว่าแตกต่างกันอย่างไร ?
สังเกตง่ายๆ ฝ้า จะมีลักษณะเป็น “ปื้น” โดยจะเป็นรอยปื้นขนาดใหญ่ สีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้มก็ได้ หากเป็นฝ้าลึกจะมีสีน้ำตาลอมเทา ขอบเขตอาจชัดหรือไม่ชัดก็ได้ และส่วนใหญ่พบบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น หน้าผาก แก้ม จมูก และเหนือริมฝีปาก(มักไม่พบกระ บริเวณนี้ ) ส่วนกระ นั้นมีหลายชนิดแต่มีลักษณะที่เหมือนกันคือรอยโรคจะมีลักษณะเป็น “จุด” สีน้ำตาล หากเป็นกระที่อยู่ตื้นจะมีขอบเขตชัด ถ้าเป็นกระชนิดลึกขอบเขตจะไม่ชัดและมีสีน้ำตาลอมเทา ตำแหน่งที่บ่อย คืน โหนกแก้ม แก้มด้านใน สันจมูก ข้างแก้มหรือตำแหน่งอื่นๆของร่างกายก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของกระด้วย สามารถติดตามอ่านบทความ เรื่อง ” ฝ้า กระ แตกต่างกันอย่างไร ?? ”
ฝ้ารักษาหายหรือไม่?
ในปัจจุบันการรักษาฝ้าให้หายขาด 100% นั้นยังไม่สามารถทำได้ แต่การรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้นมีงานวิจัยมายืนยันแล้วว่าควรใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน เป็นการรักษาแบบองค์รวมแพทย์และคนไข้ต้องร่วมมือกันในการรักษา แพทย์จะเลือกใช้เครื่องมือในการรักษาให้เหมาะกับสภาพผิวและการใช้ชีวิตประจำวันของคนไข้ อีกทั้งยังจำเป็นต้องมารักษาต่อเนื่องเพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสม
หลักการรักษาฝ้าของ WOW Clinic จะยึดหลักการรักษาและตัวยาที่มีงานวิจัยทางการแพทย์สนับสนุน โดยมีหลักการดังนี้
- ลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน
- เร่งกำจัดเม็ดสีเมลานินส่วนเกินออก
- ป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
สามารถติดตามรายละเอียดการรักษาในบทความ เรื่อง “ ฝ้า รักษาวิธีใดดีที่สุด ?”
เรื่องฝ้า เป็นเรื่องที่รักษายาก และกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย เพราะมีความผิดปกติของผิวหนังระดับ DNA ไปแล้ว แต่ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ การทากันแดดปกป้องยูวีและเติมซ้ำระหว่างวัน ให้ปกป้องผิวเราได้ตลอด ดีที่สุดควรทาไว้ตั้งแต่อายุน้อยก่อนที่จะเป็นฝ้า ใครที่เป็นแล้ว ฝ้าเข้มลึกแล้ว สามารถเลือกการรักษาตามหลักข้างต้น หรือปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษา จะได้ไม่หลงทางเสียเวลา ที่ WOW Clinic เราเชี่ยวชาญการรักษา ฝ้า กระ มีผลงานการันตีมากมาย มีผู้ใช้บริการรีวิวหลายพันคน
แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น สุขภาพจิตดี พร้อมโหงวเฮ้งใบหน้าที่ผ่องใส เตรียมรับทรัพย์ก้อนใหญ่ในเวลาอันใกล้แน่นอน
บทความโดย นพ.ธีรทัศน์ สำเภาเงิน
แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพและแพทย์ประจำ WOW CLINIC