อาการ เป็นหลุมสิว เกิดจากการที่สิวอักเสบลุกลามจนทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ส่งผลให้ผิวไม่สามารถซ่อมแซมกลับมาเรียบเนียนได้ตามปกติ ทำให้เกิดร่องหรือรอยบุ๋มที่มองเห็นชัดเจน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบรุนแรงหรือมีการบีบ กด แกะสิวซ้ำ ๆ

รู้จักกับประเภทของหลุมสิวที่พบได้บ่อย

การเข้าใจประเภทของหลุมสิวเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณเลือกแนวทางการรักษาและฟื้นฟูที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเองได้มากที่สุด โดยหลุมสิวมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีลักษณะและวิธีดูแลแตกต่างกันไป ดังนี้

1. Ice pick scar เป็น รอยหลุมสิว จิกลึก หลุมสิวประเภทนี้มีลักษณะเป็นรูเล็ก ปากหลุมแคบ แต่ลึกลงไปในผิว มองดูคล้ายถูกเข็มหรือของแหลม ๆ จิ้มลงมา ทำให้รักษาได้ยากกว่าแบบอื่น เนื่องจากรอยแผลลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังแท้ มักเกิดจากสิวอักเสบรุนแรงหรือสิวหนองที่กินลึกไปถึงรากผิว การรักษาหลุมสิวชนิดนี้อาจต้องใช้วิธีที่กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ เช่น Fractional Laser, TCA CROSS, หรือการเจาะแผล (Punch technique) ซึ่งช่วยให้หลุมตื้นขึ้นได้ทีละน้อย

2. Boxcar scar หลุมสิวแบบกล่อง เป็นหลุมสิว ที่เห็นได้ค่อนข้างชัด เพราะมีลักษณะเป็นร่องกว้าง ขอบข้างค่อนข้างชัดเจนและเป็นเหลี่ยม มองดูคล้ายกล่องสี่เหลี่ยม มีความลึกระดับปานกลางถึงลึก ซึ่งหลุมสิวประเภทนี้พบได้บ่อยในคนที่เป็นสิวอักเสบเรื้อรังหรือไม่ได้รับการดูแลสิวตั้งแต่เนิ่น ๆ ข้อดีคือ Boxcar scar มักไม่ลึกเท่า Ice pick scar การรักษาจึงค่อนข้างได้ผลดี ไม่ว่าจะเป็นการเลเซอร์, Subcision (การตัดพังผืดใต้ผิว) หรือการฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมร่อง หน้าเป็นหลุม  แบบกล่อง

3. Rolling scar หลุมสิวชนิดนี้มีลักษณะเป็นหลุมตื้น รอยแผลจะกลมๆ หรือรูปรี ทำให้ผิวดูเป็น หน้าเป็นหลุม  ไม่เรียบเนียน มีลักษณะเป็นลอนคลื่น ขอบไม่ชัดเจนและไม่ลึกมากนัก เกิดจากการที่พังผืดดึงรั้งใต้ผิว ทำให้ผิวดูยุบลงเป็นคลื่น ๆ Rolling scar มักทำให้ผิวหน้าโดยรวมดูหมองและไม่เรียบ แต่ข่าวดีคือการรักษาหลุมสิวประเภทนี้ง่ายกว่า 2 ประเภทข้างต้น มักได้ผลค่อนข้างดีเมื่อใช้การรักษาที่ช่วยตัดพังผืด เช่น Subcision ร่วมกับเลเซอร์ หรือการทำ Microneedling ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

นอกจากนี้ปัจจัยที่ทำให้ หน้าเป็นหลุม  แลดูเด่นชัดขึ้น เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การสร้างคอลลาเจนลดลง การดูแลผิวไม่สม่ำเสมอ รวมถึงการถูกแสงแดดบ่อย ๆ ที่เร่งการเสื่อมสภาพของผิว