5 ความเชื่อผิดๆ
ความจริงเกี่ยวกับการฉีดเติมไขมันและฟิลเลอร์
1. ความเชื่อผิดๆ:การฉีดเติมไขมันปลอดภัยกว่าฟิลเลอร์เพราะใช้ไขมันจากร่างกายของตัวเอง
– ความจริง: แม้ว่าการใช้ไขมันจากร่างกายจะลดความเสี่ยงของการแพ้ แต่การฉีดไขมันยังคงมีความเสี่ยงเช่นการติดเชื้อ การเกิดก้อนแข็ง และการดูดซึมของไขมัน นอกจากนี้ การฉีดไขมันยังต้องใช้กระบวนการที่ซับซ้อนกว่าและเวลาพักฟื้นนานกว่า
2. ความเชื่อผิดๆ: การฉีดไขมันให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าและดีกว่าฟิลเลอร์
– ความจริง: แม้ว่าผลลัพธ์จากการฉีดไขมันสามารถอยู่ได้นานหลายปี แต่ไขมันบางส่วนอาจถูกดูดซึมโดยร่างกายในช่วงแรก ทำให้ปริมาตรลดลงมาก ถ้าใครมีเพื่อนใกล้ตัวที่เคยฉีดเติมไขมันหน้ามาแล้ว จะตอบประสบการณ์ไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่าอยู่ได้ไม่กี่เดือน แต่ก็มีบางคนอยู่ได้นานเป็นปี แต่เกือบทุกเคสต้องเติมซ้ำ ฟิลเลอร์ประเภท HA มีอายุการใช้งานที่แน่นอน ยาวนานประมาณ 6-18 เดือน และสามารถปรับแต่งได้ง่าย ไม่ควรมีอายุการใช้งานที่ยาวนานเกินไปเพราะ โครงหน้าเราจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี ถ้าหากฉีดฟิลเลอร์ชนิดที่สลายไม่ได้จึงทำให้เกิดการไหลย้อยได้
3. ความเชื่อผิดๆ: การฉีดไขมันสามารถทำได้กับทุกคนและทุกบริเวณบนใบหน้า
– ความจริง: การฉีดไขมันไม่เหมาะสมกับทุกคนหรือทุกบริเวณบนใบหน้า ผู้ป่วยที่มีไขมันไม่เพียงพอในร่างกายหรือมีปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจไม่เหมาะสมกับการฉีดไขมัน การฉีดไขมันจึงมีข้อห้ามมากกว่า เพราะเปรียบเสมือนการทำศัลยกรรม และการฉีดไขมันไม่ควรฉีดเติมบริเวณเยื่อบุ เช่น ริมฝีปาก การเลือกวิธีการฉีดควรพิจารณาจากความต้องการและสถานการณ์ของผู้ป่วย
4. ความเชื่อผิดๆ: การฉีดไขมันไม่มีผลข้างเคียงและไม่ต้องการการดูแลหลังการฉีด
– ความจริง: การฉีดไขมันมีความเสี่ยงของผลข้างเคียงเช่นเดียวกับการฉีดสารอื่นๆ เช่น การติดเชื้อ การบวม และการช้ำ และสามารถเข้าไปอุดตันเส้นเลือดได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังต้องการการดูแลหลังการฉีดเช่นเดียวกับการฉีดฟิลเลอร์
5. ความเชื่อผิดๆ: ผลลัพธ์จากการฉีดไขมันดูเป็นธรรมชาติกว่าฟิลเลอร์
– ความจริง: ผลลัพธ์จากการฉีดไขมันและฟิลเลอร์สามารถดูเป็นธรรมชาติได้ทั้งสองแบบ ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์และคุณภาพของสารที่ใช้ ฟิลเลอร์ที่ใช้สาร Hyaluronic Acid (HA) สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและเรียบเนียน
สรุป
ความเชื่อผิดๆ ที่บอกว่าการฉีดเติมไขมันดีกว่าฟิลเลอร์นั้นอาจไม่เป็นจริงเสมอไป การเลือกวิธีการฉีดควรพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความต้องการส่วนบุคคล สภาพร่างกาย และความชำนาญของแพทย์ ควรคิดดีๆก่อนจะเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง เพราะนั่นอาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปเลยก็ได้