ใครๆ ก็อยากมีผิวหน้าขาวกระจ่างใส ไร้ฝ้า ไร้กระ จุดด่างดำ การทาครีมเป็นวิธีแรกที่หลายๆคนนึกถึงเพราะทำได้ง่ายและทำได้เองทุกวัน การทา Whitening นอกจากจะทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ป้องกันและชะลอการเกิดฝ้า กระ แล้วยังเป็นการเสริมเกราะคุ้มกันบำรุงผิวหน้า ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของการรักษาฝ้า ทำให้ผิวหน้าแข็งแรงและป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ แต่ครีม Whitening ในท้องตลาดมีมากมาย จะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว หรือ เหมาะกับปัญหาฝ้า กระ ที่เป็นอยู่ 

Dr.WOW จะพามารู้จักกับ Whitening ชนิดต่าง ๆในบทความนี้กันครับ

กลุ่มที่เป็นยา

Hydroquinone เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาฝ้า

                 กลไกการออกฤทธิ์ ทำหน้าที่ยับยั้งการสร้างเอ็นไซน์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดการสร้างถุงเก็บเม็ดสี(melanosome)และเพิ่มการทำลายถุงเก็บกักเม็ดสีที่จะส่งออกไปบนผิวชั้นบน

                Hydroquinone เป็นสารWhitening ที่ดีที่สุดและก็รุนแรงมากเช่นกัน ใช้เป็นตัวเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาหรือสารลดเม็ดสีตัวอื่นๆ ไม่อนุญาตให้มาผลิตเป็นเครื่องสำอางได้ ต้องให้แพทย์สั่งจ่ายเพื่อการรักษาเท่านั้น

              จากการศึกษาวิจัยของ Ennes และคณะ ปี2000 การทา 4% Hydroquinone ร่วมกับสารกันแดด พบว่าช่วยให้ฝ้าหายสนิทได้ร้อยละ 38.1ของอาสาสมัคร เมื่อเทียบกับยาหลอก แต่หลาย ๆ งานวิจัยก็พบว่า Hydroquinone มีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้เกิดผิวแดง ได้มากกว่ายาชนิดอื่น ๆ 

Corticosteroid สเตียรอยด์

             กลไกการออกฤทธิ์คือ ยับยั้งการอักเสบ กดภูมิของร่างกาย ยับยั้งการสร้าง DNA&Protein ของเซลล์ และทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด ลดออกฤทธิ์โดยลดการสังเคราะห์และการสร้างการเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน (melanocyte) คือตัดกระบวนการอักเสบของร่างกายที่เป็นต้นกำเนิดของฝ้าและตัดวงจรการผลิตเม็ดสี 

              มีผลการศึกษาวิจัยว่า การทา สารสเตียรอยด์ 0.05% clobetasol propinoate cream พบว่าให้ฝ้าจางลงอย่างมากร้อยละ 80-90 ใน6-8 สัปดาห์แต่มีผลข้างเคียง มาก ผิวบางลง เส้นเลือดขยายตัว ที่สำคัญ กลับมาเป็นซ้ำหลังหยุดยา 2-3 สัปดาห์ สรุปได้ว่าไม่ควรใช้สเตียรอยด์ในการรักษาฝ้า เพราะจะได้ผลเพียงชั่วคราวและไม่คุ้มกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น แต่ถ้านำมาใช้ร่วมกับยาอื่นจะช่วยลดการระคายเคืองของยาอื่นได้

 Ratinoid วิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอ

               ออกฤทธิ์โดยลดการสร้างยีนที่ผลิตเอนไซม์ Tyrosinase  ลดการกระจายตัวของเม็ดสีเมลานิน เพิ่มการผลัดตัวของเซลล์ผิวชั้นบนที่เรียกว่าชั้นขี้ไคล (keratinocyte) ทำให้ผิวหนังชั้นบนหลุดลอกได้ดียิ่งขึ้น ช่วยทำให้ยาลดรอยดำตัวอื่นซึมเข้าผิวได้ดีขึ้นได้

               มีการศึกษาวิจัยพบว่า 0.1% tretinoin cream สามารถลดฝ้าได้ในเวลา 24 สัปดาห์มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับ vehicle cream และมีผลข้างเคียงทำให้ผิวแดงและลอกได้

Azelaic acid

                   พบได้ในข้าวสาลี(wheat) ข้าวไรย์(rye)หรือข้าวบาร์เลย์(barley)  มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ปรับสมดุลเส้นใย keratin ที่ผิวหนังกำพร้ารวมทั้งต้านจุลชีพก่อสิว ออกฤทธิ์ยับยั้ง melanin โดยแย่งจับกับ  Tyrosinase enzyme

                     มีงานศึกษาวิจัยผลของ 20% Azelaic acid cream เทียบกับ 4% Hydroquinone แล้วว่าได้ผลทำให้ฝ้าของอาสาสมัครจางลงดีมากเช่นกันแต่จะมีผลข้างเคียงคือแสบระคายเคืองผิวได้บ้าง แต่ก็น้อยกว่าผลข้างเคียงจากสาร  Hydroquinone

Azelaic acid เป็นสาร Whitening ตัวเดียวที่อนุญาตให้ใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์

กลุ่มที่เป็นเวชสำอาง

Arbutin 

                  Alpha-arbutin เป็นสารสกัดจากใบไม้แห้งของ bearberry พืชที่อยู่ในแถบอเมริกาเหนือ เป็นอนุพันธ์ของสาร hydroquinone แต่มีฤทธิ์อ่อนโยนกว่ามาก ไม่ทำร้ายผิว ทำให้นิยมนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ Whitening อย่างแพร่หลาย

                   ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase และ DOPA ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินโดยไม่ส่งผลต่อการดำรงชีพของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินโดยความเข้มข้นของ Arbutin ที่สูงขึ้นยิ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี melanin  นอกจากนั้น Arbutin ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และต่อต้านเชื้อโรคได้อีกด้วย

                 มีงานวิจัยของไทยโดย ศ.คลินิก นพ.นิวัติ พลนิกร ปี 2010 ทำการศึกษาโดยไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบในอาสาสมัครเพศหญิง ที่เป็นฝ้าลึกและฝ้าผสม จำนวน 35 ราย รักษาด้วย Q-switched Nd:YAG ร่วมกับให้ทา 7% Alpha-arbutin วันละ 2 ครั้งและทากันแดดในตอนเช้า พบว่าร้อยละ 30 ของผู้เข้าร่วมวิจัยรอยฝ้าจางลงดีมาก ร้อยละ30 และจางลงดีร้อยละ36.7

                ปี 2015 Morag และคณะ ศึกษาการทา 2.5% Beta-arbutin เทียบกับยาหลอก ปรากฎว่า ร้อยละ 75.9 ของผู้เข้าร่วมวิจัยมีฝ้าจางลง โดยเริ่มเห็นผลในระยะเวลา 4 สัปดาห์ และไม่พบผลข้างเคียงจากการทายา

Tranexamic acid

                  เป็นสารสังเคราะห์จากกรดอะมิโน lysine ออกฤทธิ์โดยแย่งจับกับเอ็นไซม์ Tyrosinase และอีกกลไกโดยการแย่งจับกับสาร plasminogen ยับยั้งการเกิดสาร plasmin ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นกระบวนการสร้างเซลล์อักเสบต่าง ๆ ที่มีผลให้เกิดการกระตุ้นการสร้างเมลานินและการเกิดเส้นเลือดใหม่ 

                  มีงานศึกษาวิจัยพบว่าการทา Tranexamic acid  เทียบกับ Hydroquinone พบว่าผู้เข้าร่วมวิจัยมีฝ้าที่จางลงไม่แตกต่างอย่างกันมีนัยยะสำคัญทางสถิติ และพบว่าในกลุ่มที่ทา Tranexamic acid  มีความพึงพอใจในการใช้มากกกว่ากลุ่มที่ทา Hydroquinone เนื่องจากมีแสบระคายเคืองน้อยกว่า

Vitamin C 

ยับยั้งเม็ดสีผ่านการทำปฏิกริยากับ copper และยับยั้ง  Tyrosinase enzyme 

                 ผลงานวิจัยของวิตามินซีเมื่อใช้ 5% Ascorbic acid เทียบกับ Hydroquinone พบว่าใบหน้าข้างที่ทาHydroquinone สามารถทำให้ฝ้าจางกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ แต่ Hydroquinone มีผลทำให้แสบและระคายเคืองกว่า มีการศึกษาว่า การใช้อนุพันธ์ของวิตามินซี คือ magnesium ascorbyl phosphate ใช้ในรูปแบบ aspasome เพื่อทำให้ดูดซึมเข้าผิวหนังได้ดีขึ้น พบว่า35% อาสาสมัครมีฝ้าที่จางลง

Vitamin C ในรูปแบบ L- Ascorbic acid เท่านั้นที่มีงานวิจัยในคนว่ามีคุณสมบัติพิเศษ คือ

1 . Antioxidant  ช่วยต้านอนุมูลอิสระลดริ้วรอย ต้านผิวแก่จากแสงแดด (photoaging) ต้านผิวแก่จากมลภาวะ

2. ลดการสร้างเม็ดสี

3. กระตุ้นการสร้างคอลาเจน

                แต่ L- Ascorbic acid เป็น active form ที่ไม่คงตัว Dr.WOW จะนำวิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ Vitamin C กันในบทความต่อไปอีกทีนะครับ

Kojic acid 

                  เป็นสารที่ได้จากกระบวนการหมักข้าวมอลต์ ออกฤทธิ์โดยยับยั้ง Tyrosinase enzyme และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  มีการศึกษาเปรียบเทียบการทา 0.75% Kojic acid +2.5% vitamin C เทียบกับการทา 4%  Hydroquinione พบว่ากลุ่มที่ทา Hydroquinone มีการจางลงของฝ้ามากกว่า แต่ก็มีการแดงของผิวหน้ามากกว่าด้วย และในการศึกษาผลการทาร่วมกันของ 1% Kojic acid ร่วมกับ 2% Hydroquinone พบว่ามีผลทำให้ฝ้าจางลงดีขึ้นกว่าทา Hydroquinone เดี่ยว ๆ

             นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์เป็น antioxidant, antibacterial, antifngal, antiviral, anti-inflammation จึงนิยมนำมาผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด ที่ช่วยบำรุงผิว ลดการอักเสบและลดการเกิดสิวได้

Licorice extract 

                   สารสกัดจากรากชะเอม (Glycyrrhia glabra) มีสาร glabridin ออกฤทธิ์ยับยั้ง Tyrosinase enzyme และสาร liquiritin ทำให้เม็ดสี melanin กระจายตัวออกๆไม่จับเป็นกลุ่มก้อนทำให้สีผิวบริเวฌรอยโรคจางลง

                  มีการศึกษาวิจัยของ Zubair และคณะ พบว่า 4% liquiritin ส่งผลให้ฝ้าจางลงมากกว่า 4% Hydroquinone

Soybean extract 

                สารสกัดจากถั่วเหลือง หรือ Glycine max ออกฤทธิ์ยับยั้งเม็ดสี melanin โดยยับยั้ง PAR-2 ส่งผลรบกวนการขนส่งของถุงเก็บเม็ดสี (melanosome) จากเซลล์สร้างเม็ดสี (melaonocyte) ไปเซลล์ชั้นบนและยับยั้งกระบวนการ DOPA oxidase ทำให้เม็ดสี melanin ลดลง มีการศึกษาในสัตว์ทดลองเรื่องการทาถั่วเหลืองในรูปแบบทาบริเวณผิวหนังช่วยลดการสะสมของเม็ดสีได้ และมีการศึกษาเอาสารสกัดจากถั่วเหลืองมาใช้ในมนุษย์ เช่น รักษาภาวะความเสื่อมจากแสงแดด (photoaging) กระแดด (solar lentigo) รอยคล้ำที่ใบหน้า (facial hyperpigmentation)

Niacinamide 

                เป็นสารออกฤทธิ์ของวิตามินบี 3 พบได้ในยีสและรากผักออกฤทธิ์ลดเม็ดสี โดยยับยั้ง PAR-2 ส่งผลรบกวนการขนส่งของถุงเก็บเม็ดสี (melanosome) จากเซลล์สร้างเม็ดสี (melaonocyte) ไปเซลล์ชั้นบน

                 มีการศึกษาในคนที่เป็นฝ้าโดย Navarrete -Solis และคณะ ในปี 2011 อาสาสมัคร 27คน ทา 4% Niacinamide ครึ่งใบหน้าเทียบกับ 4% Hydroquinone ในใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งพบว่า มีการลดลงของฝ้าไม่ต่างกันของสารทั้งสองชนิด แต่ Niacinamide พบผลข้างเคียงเช่น แสบ แดง ระคายเคืองน้อยกว่า Hydroquinone

Green tea(Camelia sinensis) 

              พบว่าสารในชาเขียวยับยั้ง Tyrosinase enzyme ได้ดีโดยเรียงลำดับความแรงในการออกฤทธิ์ได้ดังนี้ ECG> EGCG> GCG และสารกลุ่มชาเขียวยับยั้งการสร้าง melaninได้ดีกว่า arbutin

Isobutylamido thiazolyl resorcinol (ITR)หรือ Thiamidol 

เป็นสารอนุพันธ์ของ resorcicol สาร ITR ลดเม็ดสีเมลานินโดยยับยั้ง Tyrosinase enzyme 

                 ในปี2018 Mann และคณะ พบว่า ITR ที่ความเข้มข้น 1 umol/L มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสี melaninได้ร้อยละ40 ใน 2 สัปดาห์ มากกว่า Hydroquinoneที่ได้ร้อยละ 15 ใน 2 สัปดาห์ และมีการศึกษาอื่นพบว่าช่วยลดการกลับมาเป็นซ้ำของฝ้าได้ดีกว่า Hydroquinone

                 สารต่างๆที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมีงานวิจัยรองรับว่าเป็นสาร Whitening ที่ช่วยในการรักษาฝ้าได้ดีหากมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการรักษาฝ้ากระรอยหมองคล้ำจึงควรอ่านดูที่ฉลากของผลิตภัณฑ์ด้วยว่ามีส่วนผสมของสารเหล่านี้หรือไม่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้มากขึ้นและไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาไปกับสารอื่นๆที่กล่าวอ้างว่ารักษาฝ้าได้แต่ยังไม่มีงานวิจัยรับรองชัดเจนนอกจากนั้นการทาครีมกันแดดเป็นประจำยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่เนื่องจากครีมกันแดดเป็นเกราะคุ้มกันผิวที่ดีที่สุดแม้ไม่ได้ทาสารกลุ่ม  Whitening แต่ทาครีมกันแดดเป็นประจำก็สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าได้หลายประการ ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่อง ฝ้า กระ และรอยหมองคล้ำแล้วยังช่วยลดการเกิดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย

บทความโดย นพ.ธีรทัศน์ สำเภาเงิน

แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพและแพทย์ประจำ WOW CLINIC